วันจันทร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2561

Jaguar F-Pace SVR เชิญพบกับอเนกประสงค์ตัวแรงจากค่ายรถแดนผู้ดี

 Jagaur เอาใจคนที่โหยหารถเอสยูวีพลังแรงด้วยการแนะนำ "Jaguar F-Pace SVR" ซึ่งมีการเปิดตัวกันไปแล้วภายในงาน New York Auto Show 2018 ช่วงปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา 

  ด้วยขุมพลังที่มากับเครื่องเบนซิน 5.0 ลิตร V8 เหมือนที่ใช้ใน Jaguar F-Type รวมทั้ง Range Rover Sport SVR มากับพละกำลังสูงสุด 550 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 680 นิวตัน-เมตร พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ เป็นมาตรฐาน ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ทำอัตราเร่งจาก 0-96 กม./ชม. ในเวลา 4.1 วินาที ความเร็วสูงสุด 284 กม./ชม. เสียงคำรามของรถจะถูกปล่อยผ่านท่อไอเสียใหม่ที่ออกแบบให้มีน้ำหนักที่ 6.6 กิโลกรัมซึ่งเบากว่ารุ่นปกติ

  Mike Cross หัวหน้าวิศวกรของ Jaguar Land Rover กล่าวว่า "F-PACE SVR ได้รับการปรับปรุงการขับขี่และการตอบสนองต่างๆเพื่อให้เข้ากับสมรรถนะของเครื่องยนต์ ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงพวงมาลัยจนไปถึงการติดตั้งระบบกันสะเทือนแบบพิเศษที่ได้รับการปรับแต่งมาโดยเฉพาะสำหรับรุ่นนี้โดยเฉพาะ และยังมีการปรับปรุงสปริงใหม่อีกด้วย

  สำหรับดีไซน์ภายนอกของรถจะมีการออกแบบและตกแต่งให้มีความดุดันมากขึ้น เริ่มที่กันชนหน้าที่มีช่องระบายอากาศขนาดใหญ่ หรือแม้แต่ฝากระโปรงก็ออกแบบให้มีช่องระบายอากาศเช่นเดียวกัน เช่นเดียวกับกันชนท้ายที่ได้รับการออกแบบใหม่ พร้อมท่อไอเสียคู่ข้างละ 2 ท่อ นอกจากนั้นแล้วยังมีสปอยเลอร์ท้ายดีไซน์พิเศษสำหรับรุ่นนี้ด้วย

ล้ออัลลอยจะได้ขนาด 21 นิ้วเป็นมาตรฐาน และยังมีออปชั่นล้อน้ำหนักเบาขนาด 22 นิ้วที่มีหน้ายางด้านหลังกว้างกว่า 25 มิลลิเมตร จานเบรคจะมีขนาด 395 มิลลิเมตรที่ด้านหน้าและ 396 มิลลิเมตรที่ด้านหลัง และมีระบบเฟืองท้าย Electronic Active Differential (EAD) ปรับแต่งระบบขับเคลื่อน 4 ล้อและพวงมาลัยพาวเวอร์แบบไฟฟ้าสำหรับรุ่น SVR โดยเฉพาะ

   ภายในห้องโดยสารติดตั้งเบาะหน้าดีไซน์พิเศษพร้อมโลโก้ปั๊มนูน SVR ส่วนเบาะหลังก็จะมีรูปแบบการตัดเย็บเหมือนกับเบาะหน้า นอกจากนั้นแล้วยังติดตั้งหัวเกียร์ดีไซน์พิเศษ พวงมาลัยพร้อมโลโก้ SVR รวมทั้งแพดเดิ้ลชิพท์ที่ทำจากอะลูมิเนียม สำหรับระบบอินโฟเทนเมนต์ภายในรถ (Infotainment Touch Pro) จะได้หน้าจอสัมผัสขนาด 10 นิ้วเป็นมาตรฐาน และยังมีหน้าปัดแบบดิจิตอลขนาด 12.3 นิ้วมาให้

  Jaguar F-Pace SVR มีราคาจำหน่ายในอังกฤษที่ 74,835 ปอนด์ หรือประมาณ 3,246,000 บาท ไม่รวมภาษีในประเทศไทย

ที่มา Carscoops

Isuzu D-Max Yukon Luxe Extended Cab รุ่นพิเศษเฉพาะตลาดผู้ดี

  ค่าย Isuzu ประเทศอังกฤษ ได้ทำการเปิดตัวรุ่นพิเศษ "Isuzu D-Max Yukon Luxe Extended Cab" ภายในงาน The Commercial Vehicle Show 2018 ซึ่งจัดขึ้นที่เมืองเบอร์มิงแฮม ประเทศอังกฤษ โดยมีการตกแต่งภายนอกและภายในเพิ่มเติม

   ภายนอกจะมากับล้ออัลลอยลายพิเศษขนาด 18 นิ้วสีดำ Dark Shadow , ไฟ LED Daytime Running Lights ภายในโคมไฟหน้า , ไฟท้ายแบบ LED , ไฟตัดหมอกหน้าและหลัง , กันชนหน้าสีเดียวกับตัวรถ , บันไดข้างสีเงิน , มือจับประตูโครเมี่ยม , ไล่ฝ้ากระจกหลัง

และอีกจุดที่พิเศษก็คือ กระบะท้ายที่มีการติดตั้งระบบช่วยผ่อนแรงฝากระบะท้าย Pro-Lift Tailgate Assist ทำให้รู้สึกถึงความเบาลง 95% สามารถยกได้แม้ใช้นิ้วเพียงนิ้วเดียวและยังป้องกันไม่ให้ฝาท้ายกระเด้งลงได้ด้วย

  เข้ามาภายในห้องโดยสารจะมากับการตกแต่งในโทนสีดำ-แดงในส่วนของเบาะ นอกจากนี้ก็จะมีพวงมาลัยหุ้มหนัง รวมทั้งติดตั้งชุดหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้วมาให้
 
  ทางด้านขุมพลังจะติดตั้งเครื่องดีเซล 1.9 ลิตร พละกำลังสูงสุด 164 แรงม้าที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 360 นิวตันเมตร ที่ 2,000-2,500 รอบ/นาที ทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลา 12.7 วินาที ความเร็วสูงสุดที่ 180 กม./ชม.

  ระบบความปลอดภัยจะติดตั้งระบบเบรกป้องกันล้อล็อค ABS , ระบบกระจายแรงเบรก EBD , ระบบเสริมแรงเบรก BAS , กล้องมองหลัง , ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน Hill Start Assist, , ระบบช่วยขับขี่ขณะลงทางชัน Hill Descent , ถุงลมนิรภัยด้านหน้าและด้านข้าง

  Isuzu D-Max Yukon Luxe Extended Cab วางขายที่อังกฤษในราคา 22,509 ปอนด์ หรือประมาณ 977,000 บาท

ที่มา Carscoops

ชมรถทดสอบ Ford Everest Minor Change ก่อนเปิดตัวราวๆกลางปีนี้!

   ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมานี้ก็มีหลายๆท่านได้พบเห็น Ford Ranger และ Everest Minor Change วิ่งทดสอบบนท้องถนนเมืองไทย มีหลายๆคนที่สามารถจับภาพได้และเอามาเผยแพร่ให้หลายๆท่านได้ชมกัน ซึ่งทาง Ford เองก็ได้นำรถเหล่านี้ไปวิ่งทดสอบที่สหรัฐอเมริกาอีกด้วยเช่นกัน 

และที่เห็นก็คือภาพถ่ายของ Everest Minor Change ขณะวิ่งทดสอบแถวๆในเมืองเดียร์บอน รัฐมิชิแกนของสหรัฐอเมริกา

  จะเห็นว่ารถทดสอบนั้นจะเป็นพวงมาลัยขวาซึ่งน่าจะเป็นรถทดสอบจากประเทศไทย หลายท่านอาจจะคิดว่าเมื่อมาวิ่งทดสอบที่บ้านเกิดแล้วก็เป็นไปได้สูงที่จะเอามาขายในสหรัฐอเมริกา แต่...ไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนั้นเสมอไป โดยนาย Mike Levine เจ้าหน้าที่ฝ่ายสื่อสารผลิตภัณฑ์ของ Ford ในอเมริกาเหนือบอกว่า "Ford ถือเป็นบริษัทรถยนต์ระดับโลกและศูนย์การวิจัยระดับโลกของพวกเขาก็อยู่ที่เดียร์บอนนี่เอง ดังนั้นไม่แปลกใจที่จะมีการทดสอบเก็บข้อมูลของรถรุ่นต่างๆที่วางขายทั่วโลกในที่แห่งนี้"



 จากภาพนั้นตัวรถไม่มีการพรางตัวอะไรทั้งนั้น รถจะมีการออกแบบรายละเอียดกระจังหน้าใหม่ กันชนหน้าใหม่ รวมทั้งล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้วลายใหม่อีกด้วย ปุ่มกดบนมือจับประตูที่บ่งบอกว่าจะมีการติดตั้งกุญแจ Keyless Entry และจะมีปุ่มสตาร์ทมาให้ด้วย บริเวณแก้มด้านข้างที่เหมือนจะแปะโลโก้ "Bi-Turbo" อันเป็นการบอกว่าใช้เครื่องใหม่ ด้านท้ายจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดแต่อย่างใด อีกหนึ่งสิ่งที่เห็นบนรถก็คือ ส่วนภายในห้องโดยสารยังไม่มีภาพออกมา แต่ที่แน่ๆเลยคือ น่าจะมีการเปลี่ยนทรงหัวเกียร์ใหม่เหมือนใน Ford Ranger Raptor

  ทางด้านเครื่องยนต์นั้น ก่อนหน้านี้ได้มีข้อมูลตัวรถคร่าวๆของทั้ง Ranger และ Everest หลุดออกมาผ่านเว็บไซด์ของ Ford เอง แต่ทาง Ford ก็นำข้อมูลออกจากเว็บไปแล้ว ซึ่งในข้อมูลได้มีการเปิดเผยเกี่ยวกับสมรรถนะของรถที่เป็นไปได้สูงว่าจะมีเครื่องยนต์ใหม่ 2 แบบ นั่นคือเครื่องดีเซล 2.0 ลิตร Ecoblue เหมือนใน Ranger Raptor แต่มีพละกำลัง 2 ระดับ
- 180 แรงม้าที่ 3,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 420 นิวตันเมตรที่ 1,750-2,500 รอบ/นาที
- 213 แรงม้าที่ 3,750 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตรที่ 1,750-2000 รอบ/นาที
ส่วนเครื่องยนต์เดิมทั้งดีเซล 2.2 ลิตรและ 3.2 ลิตรก็ยังคงมีเหมือนเดิม ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับแต่ละตลาดว่าจะใส่เครื่องตัวไหน 

ส่วนระบบส่งกำลังนั้นคาดว่าจะมีการนำเสนอเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด เหมือน Ranger Raptor เข้ามาใส่ใน Everest ด้วย โดยน่าจะอยู่กับเครื่องใหม่นั่นเอง

  คาดว่าการเปิดตัว Ford Everest Minor Change ในไทยอาจจะมีขึ้นในช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคมปีนี้ครับ

ภาพจาก Indianautosblog / Team BHP

วันอาทิตย์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2561

ชม Nissan Sylphy เวอร์ชั่นพลังงานไฟฟ้า - เมื่อ Nissan Leaf ได้มาสิงในร่างของรถซีดาน 4 ประตู

   ภายในงาน Beijing Auto Show 2018 ที่กำลังจัดขึ้นที่จีนตอนนี้ ค่าย Nissan ก็ได้ทำการเผยโฉม Nissan Sylphy ในเวอร์ชั่นพลังงานไฟฟ้า 100% (Zero Emission) ถือเป็นอีกหนึ่งรุ่นที่สร้างขึ้นมาสำหรับตลาดจีนโดยเฉพาะ

  ทาง Nissan ยังไม่ได้ประกาศรายละเอียดออกมามากนัก เพียงแค่บอกว่า Nissan Sylphy Zero Emission จะขับเคลื่อนด้วยพลังงานที่ไร้มลพิษ (ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า) และมากับแบตเตอรี่แบบลิเธียมไอออนที่ติดตั้งใต้เบาะนั่ง ซึ่งสามารถทำให้รถสามารถวิ่งได้ในระยะทาง 338 กิโลเมตร

  Nissan Sylphy Zero Emission ยังคงใช้พื้นฐานของ Sylphy รุ่นปัจจุบัน และอยู่บนพื้นฐานเดียวกับ Leaf เจเนเรชั่นล่าสุด โดยการออกแบบภายนอกมีการออกแบบให้มีความคล้ายคลึงกับ Nissan Leaf ในส่วนของกระจังหน้าและกันชนหน้าดีไซน์ใหม่ ล้ออัลลอยยังใช้ลายเดียวกับ Nissan Leaf เช่นกัน ไฟท้ายและกันชนท้ายมีการปรับปรุงใหม่ นอกจากนี้ยังมีการตกแต่งสีฟ้าบริเวณไฟหน้าและกันชนท้ายท้าย ส่วนภายในห้องโดยสารยังไม่มีการปล่อยภาพออกมา

  Nissan จะเปิดตัว Sylphy Zero Emission ในช่วงปลายปีนี้ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้นน่าจะมีการเปิดเผยรายละเอียดต่างๆออกมาชัดเจนมากขึ้น ซึ่งรถรุ่นนี้ถือเป็นหนึ่งในรถพลังงานไฟฟ้าของ Nissan จาก 20 รุ่น ที่จะเปิดตัวในช่วง 5 ปีต่อจากนี้อีกด้วย

ส่วนเมืองไทยนั้นดูแล้วน่าจะหมดสิทธิ์สำหรับ Sylphy ตัวนี้ แต่อย่างไรก็ตาม Nissan Leaf ก็จะมาขายในไทยแน่นอน

ที่มา Carscoops 

วันเสาร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2561

All-New Lexus ES รูปลักษณ์ใหม่ที่มาพร้อมกับความสวยเฉียบคมมากขึ้น

  ค่ายรถหรูแดนปลาดิบอย่าง Lexus ได้ทำการเปิดตัว All-New Lexus ES เจเนเรชั่นใหม่ภายในงาน  Beijing Auto Show 2018 ซึ่งตัวรถก็พกพาความสวยงามโฉบเฉี่ยวและเทคโนโลยีใหม่ๆที่มากขึ้น

   All-New Lexus ES สร้างขึ้นบนแพลตฟอร์ม GA-K ของ Toyota ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มเดียวกับ Toyota Avalon โฉมล่าสุด โดยตัวรถจะมีขนาดความยาวมากขึ้น 2.6 นิ้ว กว้างขึ้น 1.8 นิ้ว รวมทั้งความยาวฐานล้อที่เพิ่มขึ้น 2 นิ้ว

    ทางด้านขุมพลังจะมีทางเลือก 2 แบบ ได้แก่ รุ่น ES350 และ ES300h โดยในรุ่น ES350 จะมากับเครื่องยนต์เบนซิน 3.5 ลิตร V6 พละกำลัง 302 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 362 นิวตัน-เมตร ถือว่ามากกว่ารุ่นที่แล้วที่มีพละกำลัง 268 แรงม้า พร้อมแรงบิด 336 นิวตัน-เมตร ระบบส่งกำลังจะมากับเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีดลูกใหม่ จากรุ่นที่แล้วที่เป็น 6 สปีด ระบบขับเคลื่อนจะมีแค่ระบบขับเคลื่อนล้อหน้าเท่านั้น

  ส่วนรุ่นไฮบริด ES300h จะมากับเครื่องยนต์เบนซินแบบ Atkinson บล็อกใหม่ขนาด 2.5 ลิตรแถวเรียง 4 สูบ พละกำลังสูงสุด 215 แรงม้า เสริมด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่นิกเกิลเมทัลที่มีขนาดเล็กและน้ำหนักเบาลงกว่าเดิม

  อีกหนึ่งสิ่งที่น่าสนใจใน Lexus ES โฉมใหม่ก็คือ การเพิ่มรุ่น F Sport ที่มีการตกแต่งภายนอกให้ดูสปอร์ตมากขึ้นในรุ่น ES350 รวมทั้งยังมากับระบบช่วงล่างแบบพิเศษ Adaptive Variable Suspension เหมือนในสปอร์ต LC500 นอกจากนั้นยังมีโหมดการขับขี่ Sport+ , ระบบปรับแต่งเสียงรถให้กระหึ่มขึ้นภายในห้องโดยสาร Engine Sound Enhancement

  รูปโฉมภายนอกถือว่าพัฒนาจากรุ่นก่อนมากพอสมควร ด้านหน้ายังคงการออกแบบกระจังหน้าแบบ Spindle Grille เหมือนเคย รวมทั้งไฟหน้าทรงใหม่พร้อมไฟเดย์ไลท์ทรงบูมเมอแรงภายในโคม ด้านข้างมีดีไซน์เส้นสายที่ค่อนข้างเฉียบคม มีตัวถังที่ดูมีมิติและมัดกล้ามมากกว่าเดิม ต่อเนื่องไปถึงด้านท้ายที่มากับโคมไฟท้ายทรงเรียวสวยงาม พร้อมกันชนท้ายที่มีรายละเอียดลูกเล่นน่าสนใจมากขึ้นกว่าเดิม

  ภายในห้องโดยสารออกแบบให้ทันสมัยน่าสัมผัสขึ้น ตกแต่งด้วยวัสดุคุณภาพเยี่ยม คอนโซลหน้ามีปุ่มที่ดูน้อยลงกว่าเดิม เข้ามาจะพบกับชุดหน้าปัดแบบดิจิตอลดีไซน์ใหม่พร้อมระบบการแสดงผล Head-Up Display ชุดหน้าจอตรงกลางจะมีให้เลือกตั้งแต่ขนาด 8 นิ้ว หรืออยากอัปเป็น 12.3 นิ้วอย่างในรูปก็ได้ ยังคงควบคุมหน้าจอผ่านทาง Touchpad คอนโซลกลางเหมือนเดิม หน้าจอสัมผัสสามารถรองรับ Apple CarPlay , แอพพลิเคชั่น  Amazon Alexa และ รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi Hotspot ได้อีกด้วย

  ทางด้านระบบความปลอดภัย Lexus ได้ติดตั้งชุดระบบความปลอดภัย Lexus Safety System + 2.0 มาให้ ซึ่งจะมาพร้อมกับระบบเตือนก่อนการชนพร้อมระบบตรวจจับรถจักรยานในเวลากลางวันอีกด้วย

  All-New Lexus ES ยังไม่มีการประกาศราคาออกมาจนกว่าจะเริ่มวางขายช่วงปลายเดือนกันยายนนี้ ส่วนเมืองไทยจะมีการนำเข้ามาขายหรือไม่ ต้องติตดาม

ที่มา Carscoops

วันศุกร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2561

ชม Mazda BT-50 Minor Change โฉมออสเตรเลีย

  ค่าย Mazda ประเทศออสเตรเลียได้กระตุ้นตลาดกระบะด้วยการเปิดตัว Mazda BT-50 Minor Change ที่ออกแบบมาสำหรับตลาดออสเตรเลียโดยเฉพาะ ซึ่งน่าจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันตลาดกระบะที่มีความดุเดือดได้

  การเปลี่ยนแปลงจะเน้นไปที่ด้านหน้าของรถ ซึ่งจะมีการออกแบบกระจังหน้าใหม่ที่มีรายละเอียดคล้ายคลึงกับ Mazda CX-5 โฉมที่แล้ว รวมทั้งกันชนหน้าดีไซน์ใหม่ที่มีความสปอร์ตมากขึ้น ส่วนลวดลายล้อ รวมทั้งไฟท้ายยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง โดยรวมคือตัวรถไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก ยังคงมีกลิ่นการออกแบบจาก Mazda ยุคเก่าอยู่ ยังไม่ใช่ Kodo Design ถ้าใครคาดหวังความสดใหม่ยิ่งกว่านี้ก็คงต้องรอโฉมใหม่หมดจดปี 2020 ที่จะพัฒนาร่วมกับ Isuzu ครับ

  Mazda BT-50 โฉมออสเตรเลียจะมีการแบ่งเกรดหลายระดับ ไม่ว่าจะเป็น XT Cab Chassis , XT , XTR Pickup และ GT  โดยรุ่นท็อปสุดอย่าง GT ที่มีเฉพาะรุ่น 4 ประตูเท่านั้น จะมีการติดตั้งโรลบาร์เหล็กด้านท้ายพร้อมไฟเบรกแบบ LED , พื้นปูกระบะท้าย และ ช่องต่อไฟ 12V ที่กระบะท้าย

  ภายในห้องโดยสารไม่มีการเปลี่ยนแปลงดีไซน์แต่อย่างใด จะเห็นว่ามีการปรับแค่ชุดหน้าจอใหม่เล็กน้อยเท่านั้น โดยตั้งแต่รุ่นเริ่มต้น XT จะได้เครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสจาก Alpine ขนาด 7 นิ้ว (รุ่นท็อปสุด GT จะได้ขนาด 8 นิ้ว) ทุกรุ่นมาพร้อมการรองรับ Apple CarPlay และ Android Auto และในรุ่นท็อปสุดจะมีระบบนำทางดาวเทียมมาให้ด้วย ระบบ Cruise Control จะมีมาให้เป็นมาตรฐานในกระบะทุกรุ่นย่อย

   ทางด้านขุมพลังนั้น จะมีทางเลือก 2 แบบ ได้แก่
- เครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรล Di-THUNDER PRO VN TURBO เทอร์โบแปรผัน อินเตอร์คูลเลอร์ DOHC แบบ 4 สูบ 16 วาล์ว ขนาด 2.2 ลิตร แรงม้าสูงสุด 150 แรงม้าที่ 3,700 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 375 นิวตัน-เมตร ที่ 1,500-2,500 รอบต่อนาที
- เครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรล Di-THUNDER PRO VN TURBO เทอร์โบแปรผัน อินเตอร์คูลเลอร์ DOHC แบบ 5 สูบ 20 วาล์ว ขนาด 3.2 ลิตร แรงม้าสูงสุด 200 แรงม้าที่ 3,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 470 นิวตัน-เมตร ที่ 1,750-2,500 รอบต่อนาที

   ทางด้านระบบความปลอดภัยของรถถือว่าจัดเต็มกว่าเมืองไทยพอสมควรเลย โดย จะมีระบบดังต่อไปนี้
- ถุงลมนิรภัยคู่หน้า SRS ทุกรุ่น
- ถุงลมนิรภัยด้านข้างในรุ่น Freestyle Cab และ Double Cab ทุกรุ่น
- ถุงลมนิรภัยม่านด้านข้างในรุ่น Single Cab ทุกรุ่น
- ม่านถุงลมนิรภัยรอบคันหน้า-หลังในรุ่น Freestyle Cab และ Double Cab ทุกรุ่น
- ระบบเบรก ABS/EBD/BA ทุกรุ่น
- ระบบควบคุมการทรงตัว DSC ทุกรุ่น
- ระบบป้องกันการลื่นไถล TCS ทุกรุ่น
- ไฟเบรกฉุกเฉิน ESS ทุกรุ่น
- ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HLA ทุกรุ่น
- ระบบช่วยลงเขา HDC (ในรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อทุกตัวถัง)
- ระบบล็อคเฟืองท้าย Locking Rear Differential พร้อมสวิตซ์เปิด-ปิด (ในรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อทุกตัวถัง)
- ระบบป้องกันการพลิกคว่ำ RSC ทุกรุ่น
- ระบบควบคุมการทรงตัวเมื่อบรรทุก LAC ทุกรุ่น
- ระบบควบคุมการทรงตัวขณะลากจูง TSC ทุกรุ่น
- กล้องมองหลัง ทุกรุ่น

  Mazda BT-50 Minor Change ในประเทศออสเตรเลียจะมีราคาเริ่มต้นที่ 28,990 ดอลลาร์ออสเตรเลีย (หรือประมาณ 694,000 บาท) จนถึง 51,990 ดอลลาร์ออสเตรเลีย (หรือประมาณ 1,244,000 บาท)

ส่วนเมืองไทยจะมีการปรับกระตุ้นตลาดให้กับ Mazda BT-50 Pro หรือไม่ ก็ต้องติดตามต่อไป

ที่มา Mazda Australia , Caradvice
  

Like Box