วันพฤหัสบดีที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2561

สรุปไฮไลต์รถยนต์รุ่นใหม่ภายในงาน Bangkok Motor Show 2018

  ถือว่าจบกันไปแล้วสำหรับงาน Bangkok International Motor Show 2018 ครั้งที่ 39 ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 28 มี.ค. - 8 เม.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งมีผู้เข้าชมงานกว่า 1.6 ล้านคน และสามารถทำยอดจองรถยนต์ภายในงานได้ 36,941 คัน 

   ในงานปีนี้เป็นอีกปีที่ค่อนข้างน่าสนใจ เพราะมีการแนะนำรถพลังงานไฟฟ้าหลากหลายรุ่น สอดคล้องกับในยุคที่หลายคนเริ่มมองหาพลังงานทางเลือกใหม่นอกจากน้ำมัน ซึ่งบางรุ่นอาจจะมีราคาค่าตัวสูงไปบ้างแต่คิดว่าในอนาคตที่มีการสนับสนุนและรองรับทางเลือกนี้มากขึ้น อะไรต่างๆนานาก็น่าจะถูกลง

  นอกเหนือจากรถพลังงานไฟฟ้าแล้ว แน่นอนว่าภายในงานยังมีรถรุ่นใหม่มากหน้าหลายตาทั้งกลุ่มตลาดแมส และตลาดรถหรู มาให้เราได้ยลโฉมกัน จะมีรถรุ่นใหม่น่าสนใจอะไรบ้างก็ไปชมกันเลย

ปล. จะมีบางยี่ห้อที่ไม่ใส่เข้ามา เช่น Subaru หรือ MG เพราะไม่มีการเปิดตัวหรือแนะนำรุ่นใหม่ภายในงาน

Aston Martin
   ไฮไลต์สำคัญของค่ายสปอร์ตหรูแดนผู้ดีก็คงจะหนีไม่พ้น All-New Aston Martin Vantage ที่เพิ่งเปิดตัวในตลาดโลกเมื่อปลายปีที่ผ่านมานี้เอง การมาเปิดตัวที่ไทยถือเป็นครั้งแรกในประเทศกลุ่มอาเซียนเลยก็ว่าได้  เครื่องยนต์นั้นมากับเครื่องเบนซิน 4.0 ลิตร V8 ทวินเทอร์โบจาก AMG มากับพละกำลัง 510 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 685 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ ZF 8 สปีด อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลา 3.6 วินาที ทำความเร็วสูงสุดได้ 313 กม./ชม. อ่านรายละเอียดตัวรถได้ที่ All-New Aston Martin Vantage โฉมใหม่ของสปอร์ตรุ่นเล็กค่ายอังกฤษ สนนราคาอยู่ที่ 16,990,000 บาท

Audi
   ค่ายสี่ห่วงแห่งแดนไส้กรอกยังคงรุกตลาดไทยต่อเนื่อง หลังจากที่นำเสนอรถรุ่นใหม่หลากหลายรุ่นเมื่อปีที่ผ่านมา Audi TT , Audi Q5 , Audi A5 Sportback และอีกสารพัดรุ่น ในปีนี้ที่งานบางกอกมอเตอร์โชว์ ค่ายสีห่วงมีรถที่เพิ่งเปิดตัวสดๆร้อนๆ ดังนี้

  A7 Sportback รถซีดานคูเป้โฉมใหม่ล่าสุดของค่าย ซึ่งวางตัวเป็นคู่แข่งกับ Mercedes-Benz CLS รวมทั้ง BMW 6-Series Gran Turismo มีดีไซน์ภายนอกที่ดูโฉบเฉี่ยวสวยงามและภายในที่ล้ำสมัย ติดตั้งขุมพลังเครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร V6 TFSI พละกำลัง 340 แรงม้าที่ 5,000-6,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตัน-เมตรที่ 1,370-4,500 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ Tiptronic 8 สปีด มาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Quattro มีทางเลือกรุ่นย่อยเดียวคือ รุ่น 55 TFSI quattro S-Line ราคา 5,399,000 บาท

- A8L รถซีดานสุดหรูระดับเรือธงของค่าย มากับรูปโฉมที่ดูสวยงามหรูหราตามแบบฉบับ Audi พร้อมภายในห้องโดยสารที่ดูล้ำสมัย วางจำหน่ายด้วยขุมพลังเครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร V6 TFSI พละกำลัง 340 แรงม้าที่ 5,000-6,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตัน-เมตรที่ 1,370-4,500 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ Tiptronic 8 สปีด มาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Quattro วางจำหน่าย 2 รุ่นย่อย ได้แก่
- A8L 55 TFSI Quattro Premium ราคา 6,799,000 บาท
- A8L 55 TFSI Quattro Prestige ราคา 7,999,000 บาท

Bentley
   ค่ายรถหรูแดนผู้ดีมีไฮไลต์เด็ดก็คือ Bentley Continental GT รถสปอร์ตสุดหรูของค่ายซึ่งเป็นเจเนเรชั่นใหม่ ดีไซน์ของตัวรถก็ยังคงเอกลักษณ์งานออกแบบเหมือนรุ่นก่อนหน้านี้ แต่มีการออกแบบให้ดูสวยงามมากขึ้น ขุมพลังจะมากับเครื่องยนต์เบนซิน 6.0 ลิตร W12 TSI ทวินเทอร์โบ บล็อกใหม่ล่าสุดของค่าย มากับพละกำลัง 635 แรงม้า PS แรงบิดสูงสุด 900 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติดูอัลคลัตซ์ 8 สปีด สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลา 3.7 วินาที ความเร็วสูงสุด 333 กม./ชม. ทำราคาที่ 22,100,000 บาท

  นอกจากนี้ยังมีการแนะนำ Bentley Bentayga Diesel ที่มากับราคาที่ย่อมเยาลงจากรุ่นเบนซินที่เปิดตัวครั้งแรก มากับเครื่องยนต์ดีเซล 4.0 ลิตร V8 แบบ triple-charged พละกำลังสูงสุด 435 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 900 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด สามารถอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 4.8 วินาที ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 270 กม./ชม. มากับราคาค่าตัว 21,500,000 บาท

BMW
   ค่ายใบพัดฟ้าขาวได้มีการแนะนำรถรุ่นใหม่ภายในงานหลากหลายรุ่นด้วยกัน ขอเริ่มที่ BMW X1 ที่มีการปรับเปลี่ยนรุ่นย่อยใหม่และอุปกรณ์ใหม่เล็กน้อย โดยในรุ่นท็อปสุด X1 sDrive18d M Sport ได้เปลี่ยนเป็น X1 sDrive20d M Sport ที่จะมากับเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร TwinPower Turbo พละกำลัง 190 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด Steptronic จำหน่ายในราคา 2,559,000 บาทเท่า X1 sDrive18d M Sport ฉะนั้นคนที่ซื้อก่อนหน้านี้อาจจะงงรับประทาน ได้เครื่องแรงน้อยกว่ารุ่นใหม่ แถมราคาเท่ากันอีก

นอกจากนี้ใน BMW X1 sDrive18d xLine จะมีการปรับราคาลงจากเดิม 100,000 บาท เหลือ 2,359,000 บาท มากับเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร TwinPower Turbo พละกำลัง 150 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด Steptronic

และปิดท้ายด้วยรุ่นถูกสุด X1 sDrive 18i xLine ที่มากับเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร TwinPower Turbo พละกำลัง 136 แรงม้า พร้อมใส่เกียร์ลูกใหม่ "อัตโนมัติ 8 สปีด Steptronic" เหมือนเครื่องดีเซล จากเดิมที่ใช้เกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด Steptronic Dual Clutch ราคาจำหน่ายเท่าเดิม 2,259,000 บาท

  แต่รถที่เป็นไฮไลต์ที่น่าสนใจภายในงานคงจะหนีไม่พ้น BMW X2 รถครอสโอเวอร์ที่ดีไซน์สปอร์ตกว่า X1 หวังมาเป็นคู่แข่งสายตรงของ Mercedes-Benz GLA ในไทยจะทำตลาดด้วยรุ่น X2 sDrive20i M Sport X มากับเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร TwinPower Turbo พละกำลังสูงสุด 192 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 280 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด Steptronic Dual Clutch สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ 227 กม./ชม. ราคาค่าตัวถือว่าแพงพอตัว โดยอยู่ที่ 2,999,000 บาท

  ต่อด้วย BMW X3 สำหรับใครที่รอคอยรุ่น M Sport ตอนนี้ก็มาแล้วในรุ่น X3 xDrive20d M Sport ที่มากับการตกแต่งภายนอกให้ดูสปอร์ตและน่าดึงดูดกว่ารุ่นปกติ ทำราคาขายอยู่ที่ 3,799,000 บาท

  อีกคันที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือ BMW 5-Series Touring รถแวกอนพ่อบ้านสายหรู ทำตลาดด้วยรุ่น 530i Touring M Sport ที่มากับเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร TwinPower Turbo พละกำลังสูง 252 แรงม้าที่ 5,200 – 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตร ที่ 1,450 – 4,800 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด วางขายในราคา 4,539,000 บาท

ปิดท้ายด้วยตัวแรงอย่าง BMW M5 ที่ได้มาเอาใจสายซิ่งติดหรูชาวไทย จะมากับขุมพลังเครื่องยนต์เบนซิน 4.4 ลิตร V8 M TwinPower Turbo มากับพละกำลังสูงสุด 600 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 750 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ ZF 8 สปีด จำหน่ายในราคา 13,339,000 บาท

BYD
  ค่ายรถแดนมังกร BYD (ย่อมาจาก Build Your Dream) ที่จะมาทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในเมืองไทย หนึ่งในรถเด่นภายในบูธคงจะหนีไม่พ้น BYD e6 รถทรง MPV ที่มีดีไซน์ค่อนข้างเรียบหรู บริษัทหมายมั่นที่จะให้รถคันนี้เจาะตลาดรถแท็กซี่ VIP ซึ่งคาดว่า 100 คันแรกจะให้บริการเราได้ในช่วงปลายปีนี้ ลูกค้าทั่วไปก็ซื้อได้เช่นเดียวกัน โดยขุมพลังของรถจะขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า พละกำลัง 134 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร และมากับแบตเตอรี่ Lithium Iron Phosphate ความจุ 80 กิโลวัตต์ สามารถวิ่งได้ระยะทางสูงสุด 400 กิโลเมตรต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ความเร็วสูงสุดทำได้ 149 กม./ชม. สนนราคาค่าตัว 1,890,000 บาท  

อุปกรณ์ชาร์จไฟจะมีให้เลือกทั้งหมด 2 แบบ ได้แก่ 7 kW ซึ่งใช้ระบบไฟแบบเฟสเดียว สามารถชาร์จไฟเต็มโดยใช้เวลา 11 ชั่วโมงครึ่ง จำหน่ายในราคา 37,900 บาท และยังมีที่ชาร์จแบบ 40 kW ใช้ระบบไฟแบบ 3 เฟสด้วยแรงดันไฟ 380-400 โวลต์ ใช้เวลาชาร์จไฟแค่ 1 ชั่วโมงครึ่งเท่านั้น ขายราคา 129,900 บาท

อีกหนึ่งรถที่นำมาโชว์และเตรียมพร้อมที่จะขายก็คือ BYD T3 รถตู้ขนส่งสินค้าพลังงานไฟฟ้า มาพร้อมแบตเตอรี่ความจุ 50 กิโลวัตต์ชั่วโมง รองรับระยะทางวิ่งได้สูงถึง 300 กิโลเมตร จะเริ่มผลิตและส่งมอบได้ช่วงปลายปีนี้ในราคาที่ต่ำกว่า 1,590,000 บาท


นอกจากนี้ก็มี BYD c6 รถมินิบัสพลังงานไฟฟ้า 24 ที่นั่ง , BYD Electric Forklift รถยกพลังงานไฟฟ้า และ BYD Electric Baggage Towing Tractor เข้ามาแสดงด้วย


Chevrolet
  ค่ายโบว์ไทน์ที่ทั้งบูธแทบจะมีแต่กระบะและรถอเนกประสงค์ PPV ส่วน Captiva นั้นมีจอดโชว์เพียงแค่คันเดียวเท่านั้น แน่นอนว่าไฮไลต์ภายในบูธก็คงหนีไม่พ้น Chevrolet Colorado รุ่นปรับอุปกรณ์ปี 2018 ที่มีการปรับปรุงในรุ่น High Country Storm ที่มากับทางเลือกสีใหม่ "สีส้ม Orange Crush" ไม่มีการปรับราคาขึ้น และรุ่นธรรมดาที่มีทางเลือก "สีเทา Dark Shadow Metallic" อีกหนึ่งสิ่งที่น่าสนใจคือในรุ่น LT Z71 ยกสูงขับเคลื่อน 2 ล้อทุกตัวถัง ทุกระบบส่งกำลังมีการปรับเพิ่มระบบความปลอดภัยจำพวก Active Safety เข้ามาเพิ่ม ไม่ว่าจะเป็น ระบบควบคุมการทรงตัว , ระบบป้องกันการลื่นไถล , ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน เป็นต้น ในราคาที่เพิ่มขึ้น 9,000 บาท

Fomm
   อีกหนึ่งบริษัทรถพลังงานไฟฟ้าสัญญาณญี่ปุ่นที่มาโชว์ตัวภายในงานนี้ พระเอกของงานน่าจะหนีไม่พ้นเจ้ารถไฟฟ้าคันเล็ก Fomm One ที่แม้จะมีขนาดตัวรถแค่ 2,585 มิลลิเมตร แต่รองรับผู้โดยสารได้ 4 คน แต่คนที่นั่งแถวหลังอาจจะต้องตัวเล็กหน่อย ตัวรถจะติดตั้งแบตเตอรี่ขนาด 2.96 กิโลวัตต์ชั่วโมง จำนวน 4 ก้อน รองรับการวิ่งได้ระยะทาง 160 กิโลเมตร ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 80 กม./ชม. ราคาจำหน่ายอยู่ที่ 664,000 บาท แต่สำหรับลูกค้า 2,000 คันแรก จะลดราคาเหลือ 599,900 บาท


Ford
   ตัวแรกแขกภายในบูธนี้ก็คือ Ford Ranger Raptor คันสีน้ำเงินที่จอดโดดเด่นบนเวทีบูธนั่นเอง  Ford Ranger Raptor ถือเป็นกระบะสมรรถนะสูงหนึ่งเดียวในกลุ่มคู่แข่งระดับเดียวกัน เนื่องจากว่ายังไม่คู่แข่งรายใดที่ทำตลาดรถในลักษณะนี้มาก่อน นับว่าเป็นครั้งแรกเลยที่ Ford มาบุกตลาดกลุ่มนี้ รถถูกออกแบบ ทดสอบและพัฒนาโดยทีม Ford Performance (คล้ายๆแผนก AMG ของ Mercedes-Benz หรือแผนก M ของ BMW) และได้ผ่านการทดสอบการขับขี่มาอย่างหนักหน่วงทีเดียวเพื่อเอาใจคอกระบะในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคโดยเฉพาะ รถถูกสร้างขึ้นภายใต้พื้นฐานของ Ford Ranger (T6) เหมือนเดิม แต่ได้มีการออกแบบแซสซีส์ให้มีขนาดใหญ่ขึ้นโดยแซสซีส์ทำมาจาก High-strength Low-alloy (HSLA) หลายเกรดด้วยกัน ขนาดตัวถังถือว่ามีขนาดที่โตขึ้นกว่ารุ่นปกติพอสมควรอีกทั้งยังเสริมความแข็งแกร่งเป็นพิเศษด้วย

ขุมพลังจะติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2.0 ลิตร Ecoblue แบบเทอร์โบคู่ มากับพละกำลังสูงสุดถึง213 แรงม้า (PS) และแรงบิดสูงสุดถึง 500 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด พร้อม Paddle Shifter มีทางเลือกรุ่นย่อยเดียว ในราคา 1,699,000 บาท และหากใครสนใจจองก็จงรีบไปจองซะ เพราะเห็นว่าจองวันนี้ แต่ต้องรับรถกันปีหน้าเลยทีเดียว

Honda
   สำหรับค่าย Honda ปีนี้ใครที่รอคอยการมาของ HR-V Minor Change ที่เปิดตัวในญี่ปุ่นไปแล้ว ตอนนี้ยังไม่มานะครับ แต่อย่างไรก็ตาม Honda ก็มีไฮไลต์ที่น่าสนใจภายในอยู่หลายคัน เริ่มที่ Honda Clarity รถ Fuel-Cell ที่ใช้พลังงานไฮโดรเจนในการขับเคลื่อน มีพลังขับเคลื่อนโดยใช้แผงเซลล์เชื้อเพลิง (fuel cell stack) เป็นแหล่งพลังงานไฟฟ้าของรถ เมื่อเติมเชื้อเพลิงไฮโดรเจนเต็มถังจะสามารถวิ่งได้ถึง 750 กิโลเมตรกันเลยทีเดียว

  อีกหนึ่งคันที่น่าสนใจไม่แพ้กัน และตั้่งตระหง่านบนเวทีข้างๆ Honda Clarity ก็คือ Honda Civic Hatchback ที่มีการเปิดตัวสีแดงเข้ามาเสียทีหลังจากที่ปล่อยให้ลูกค้าก่อนหน้านี้ไปร้านพ่นสีกันเองมาเสียนาน คราวนี้ก็มาเป็นทางเลือกให้กับลูกค้าเรียบร้อยแล้ว ยังคงออปชั่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ราคาเท่าเดิม 1,169,000 บาท

ตามด้วยอีกหนึ่งคันที่โผล่มาแบบเงียบๆ นั่นคือ Honda BR-V MY2018 ที่มีการปรับรุ่นย่อยจากรุ่น 5 ที่นั่
 V CVT เป็น V+ CVT มีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมจากรุ่น V CVT เดิมดังนี้
- เพิ่มกระจกมองข้างปรับและพับไฟฟ้า
- เพิ่มระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 6.1 นิ้ว
- เพิ่มการรองรับการเชื่อมต่อ Smartphone
- เพิ่มช่องต่อ HDMI
- เพิ่มกล้องส่องภาพด้านหลัง
ส่วนรุ่น SV CVT ยังคงออปชั่นเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง มีราคาจำหน่ายที่ 755,000-820,000 บาท

ปิดท้ายด้วยอีโคคาร์ของค่ายที่ยังคงฮึดสู้ขายต่อไป คราวนี้ก็ยังดิ้นรนต่อด้วยการเปิดตัว Brio Amaze Black Sport รุ่นที่ตกแต่งเพิ่มเติมจาก Brio Amaze รุ่นปกติ  ดยมีสิ่งที่เพิ่มเติมหรือเปลี่ยนแปลงดังต่อไปนี้- กระจังหน้าสีดำ Gloss Black
- ชุดตกแต่งสเกิร์ตรอบคันแบบสปอร์ต Modulo พร้อมตกแต่งด้วยลายเส้นสีส้ม
- ล้ออัลลอยแบบสปอร์ตสีพิเศษ Berlina Black
- ปลอกท่อไอเสียสแตนเลส
สำหรับราคาของ Honda Brio Amaze Black Sport Special Edition มีราคาอยู่ที่ 579,000 บาท หรือเพิ่มเงินจากรุ่น SV CVT แค่ 2,000 บาทเท่านั้น

Hyundai
  ใครที่รอคอย Hyundai H-1 Big Minor Change ก็ยังคงไม่มีมาเปิดตัว แต่ภายในงานก็มีการแนะนำ Hyundai H-1 Black Series รุ่นพิเศษที่มากับโทนสีภายนอกสีดำล้วนตามชื่อรถ ตกแต่งภายนอกและภายในให้มีความหรูหรามากขึ้น วางราคาขายไว้ที่ 1,579,000 บาท

  และอีกคันท่ี่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือ Hyundai iONIQ อีกหนึ่งรถพลังงานไฟฟ้าเพียวๆไม่กี่รุ่นที่จำหน่ายในไทย ณ ตอนนี้มากับขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ Permanent Magnet Synchronous Motor พละกำลัง 120 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 295 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบ Single Speed Reduction ส่วนแบตเตอรี่ที่เป็นแหล่งสะสมพลังงานจะติดตั้งแบตเตอรี่แรงดันไฟฟ้าสูง Lithium-Ion Polymer (LiPo) ความจุ 28 กิโลวัตต์-ชั่วโมง เวลาในการชาร์จไฟจะอยู่ที่ประมาณ 4 ชั่วโมง 25 นาที หรือใช้การชาร์จไฟ quick charge แบบ 50 กิโลวัตต์จะใช้เวลา 30 นาที หรือแบบ 100 กิโลวัตต์ จะใช้เวลาแค่ 25 นาทีเท่านั้น โดยมีระยะทางวิ่งสูงสุดเมื่อชาร์จไฟเต็ม 280 กิโลเมตร สนนราคาค่าตัว 1,749,000 บาท

Isuzu
  สำหรับค่ายตรีเพชรแน่นอนว่ามีรถรุ่นใหม่ที่เพิ่งแนะนำตัวไม่นานก็คือ D-Max X-Series รุ่นปี 2018 ที่ได้รับการตกแต่งให้ดูสวยงามและสปอร์ตมากขึ้น  ด้านหน้าจะมากับกระจังหน้าสีเทาพร้อมเส้นสีแดงที่ลากจากไฟหน้าด้านซ้ายจรดด้านขวา และที่ขาดไม่ได้คือโลโก้ Isuzu สีแดงที่กระจังหน้า พร้อมกันนี้ยังออกแบบสเกิร์ตรอบคันให้มีดีไซน์ที่แตกต่างกันไม่ว่าจะเป็นตัวเตี้ยและตัวยกสูงขับเคลื่อน 2 ล้อ Hi-Lander และยังมีสติ๊กเกอร์สีเทาคาดระหว่างตัวถังอีกด้วยเช่นกันโดยลวดลายสติ๊กเกอร์ในตัวเตี้ยและตัวยกสูงขับเคลื่อน 2 ล้อ Hi-Lander จะมีลวดลายที่แตกต่างกัน ความน่าสนใจคือการเพิ่มรุ่นตกแต่ง 4 ประตูตัวเตี้ยมาเป็นทางเลือกด้วย มีทางเลือกเครื่องยนต์แบบเดียวคือดีเซล 1.9 ลิตร ส่วนราคาจำหน่ายของเวอร์ชั่น X-Series ตั้งแต่ตัวเตี้ยยันตัวสูงจะเริ่มที่ 742,000-959,000 บาท

และอีกคันที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือ Isuzu MU-X The ICONIC รุ่นตกแต่งพิเศษที่ได้เพิ่มภาพลักษณ์ความสปอร์ตให้กับรถขึ้นมาพอสมควร จากเดิมที่ดูเรียบหรูมีความเป็นผู้ใหญ่หน่อย  ด้วยชุดแต่งสเกิร์ตสีเทาดำรอบคัน , คิ้วซุ้มล้อสีเทาดำ , กระจกมองข้างสีเดียวกับตัวรถ และ ล้ออัลลอยลายพิเศษขนาด 18 นิ้วล้อพร้อมยางขนาด 255/60 R18 ภายในห้องโดยสารมีการเปลี่ยนโทนสีภายในจากเดิมที่เป็นสีดำ-ครีม กลายเป็นสีดำล้วน (LAVA BLACK) เพื่อให้สอดรับกับภายนอกที่ดูให้สปอร์ตขึ้น ตกแต่งภายในด้วยลายไม้ Fine Walnut รวมทั้ง Piano Black และโครเมี่ยมรอบคัน ระบบความบันเทิงติดตั้งชุดหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้วพร้อมระบบนำทาง Buid-In Navigator และ Digital TV Tuner มีทางเลือกเครื่องยนต์ดีเซล 1.9 และ 3.0 ลิตร ราคาอยู่ที่ 1,354,000-1,399,000 บาท

Jaguar 
  สำหรับค่ายรถแดนผู้ดีอย่าง Jaguar แน่นอนว่าพระเอกงานนี้คงหนีไม่พ้น E-Pace รถอเนกประสงค์น้องเล็กสุดที่ดีไซน์ด้านข้างแบบชวนให้นึกถึงแบรนด์รถลูกครึ่งยุโรป-เอเชียบางค่าย รวมทั้งรถเกาหลีด้วย ตัวรถจะมากับขุมพลังดีเซล 2.0 ลิตร พละกำลัง 150 แรงม้า PS แรงบิดสูงสุด 380 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด ทำราคาจำหน่ายที่ 3,600,000 บาท โดยจะได้สเปคแบบคันสีบรอนซ์ ส่วนใครอยากได้จัดเต็มแบบคันสีแดงต้องบวกเงินเพิ่มอีก แต่เท่าไหร่ต้องไปถามทาง Jaguar เอาเอง

อีกคันที่มีการแนะนำก็คิอ Jaguar F-Type พร้อมเครื่องยนต์บล็อกใหม่ขนาดเล็กลง โดยจะเป็นเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบเทอร์โบชาร์จ พละกำลังอยู่ที่ 300 แรงม้าที่ 5,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตัน-เมตร ที่ 1,500 - 4,500 รอบต่อนาที มีราคาจำหน่ายที่ 6,999,000 บาท
Kia
   ดาวเด่นของค่ายนี้แน่นอนว่าคงหนีไม่พ้น Kia Grand Carnival Minor Change ที่ได้ทำการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ "ครั้งแรกในเอเชีย" ซึ่งได้ทำการปรับโฉมภายนอกและภายใน ใส่ออปชั่นและระบบความปลอดภัยต่างๆให้ครบครันมากยิ่งขึ้น อ่านรายละเอียดของตัวรถที่ Kia Grand Carnival Minor Change เพิ่มเติมออปชั่นและความปลอดภัย เปิดตัวในไทยในราคาเริ่มต้นที่ 1,622,000 บาท มีการจำหน่าย 3 รุ่นย่อย ได้แก่
- รุ่น LX ราคา 1,622,000 บาท
- รุ่น EX ราคา 1,991,000 บาท
- รุ่น SXL ราคา 2,292,000 บาท

Maserati

  ค่ายตรีศูลแห่งแดนมักกะโรนี มีการแนะนำรถรุ่นใหม่นั่นคือ Maserati Ghibli Minor Change
มีรูปแบบการตกแต่ง 2 แบบคือ GranLusso ที่จะเน้นความเรียบหรูดูแพง ส่วน GranSport จะเน้นความโฉบเฉี่ยวดุดัน ขุมพลังของรถจะมีหลายแบบด้วยกัน * เครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร V6 ทวินเทอร์โบ มีพละกำลังหลายระดับ ตั้งแต่ 350 แรงม้าที่ 5,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตัน-เมตรที่ 1,750-4,500 รอบ/นาที , 430 แรงม้าที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 550 นิวตัน-เมตรที่ 1,750-5,000 รอบ/นาที
* เครื่องยนต์ดีเซล 3.0 ลิตร V6 เทอร์โบ มีพละกำลัง 275 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 600 นิวตัน-เมตรที่ 2,000-2,600 รอบ/นาที เท่ากันทั้ง 2 แบบ ทุกรุ่นทุกเครื่องยนต์ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ ZF 8 สปีด
ราคาจำหน่ายจะมีดังนี้
- Ghibli Diesel ราคา 6,990,000 บาท
- Ghibli Diesel GranLusso ราคา 7,590,000 บาท
- Ghibli GrandLusso ราคา 8,890,000 บาท
- Ghibli S GranSport ราคา 9,990,000 บาท

Mazda
  ค่ายนี้ไม่มีรถหน้าใหม่มาโชว์ตัว ยังคงเป็นรถหน้าเดิมๆแต่มีการปรับอุปกรณ์นั่นเอง เริ่มที่เจ้าตัวเล็กอย่าง Mazda 2 MY2018 ที่ได้เพิ่มเติมอุปกรณ์จากรุ่นท็อปให้กระจายมาในรุ่นรองมากขึ้น รวมทั้งเปลี่ยนสีแดงเก่าเป็นสีแดงใหม่ Soul Red Crystal ตาม Mazda CX-5 จำหน่ายในราคาเท่าเดิม 530,000-789,000 บาท อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม Mazda 2 MY2018 ปรับอุปกรณ์เพิ่มออปชั่นและความปลอดภัยในราคาเท่าเดิม

เช่นเดียวกับรุ่นพี่ Mazda 3 ก็มีการปรับเพิ่มอุปกรณ์ใหม่ในโมเดลปี 2018 เช่นกัน มีการเพิ่มหลายสิ่งหลายอย่างที่หลายคนอยากได้ เช่น เบาะไฟฟ้าด้านคนขับ หรือแอร์อัตโนมัติแบบแยกโซน รายละเอียดตัวรถอ่านได้ที่ Mazda 3 MY2018 ปรับอุปกรณ์และเพิ่มเติมความปลอดภัย เพิ่มราคา 10,000-30,000 บาท ราคาค่าตัวอยู่ที่ 857,000-1,149,000 บาท

ปิดท้ายด้วย Mazda MX-5 MY2018 ที่ยกเลิกรุ่นหลังคาผ้าใบไปแล้ว จำหน่ายแต่รุ่น RF ที่เป็นหลังคาแข็งแบบพับเก็บด้วยระบบไฟฟ้า รวมทั้งเพิ่มทางเลือกเกียร์ธรรมดา 6 สปีด และสีแดงใหม่ จำหน่ายในราคา 2,820,000 บาทเท่ากันทั้งเกียร์ธรรมดาและอัตโนมัติ

Mercedes-Benz
   ช่วงนี้ค่ายตราดาวมีรถรุ่นใหม่เปิดตัวหลายรุ่นด้วยกัน ไฮไลต์ที่สำคัญคงหนีไม่พ้น All-New Mercedes-Benz CLS ที่ทำตลาดในไทยด้วยรุ่น CLS300d AMG Premium มากับเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร เทอร์โบคู่ พละกำลังสูงสุด 245 แรงม้า ที่ 4,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร ที่ 1,600 – 2,400 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด 9G-Tronic ทำราคาจำหน่ายที่ 4,980,000 บาท

และอีกคันที่นำมาเปิดตัวก็คือ Mercedes-Benz E200 AMG Dynamic ที่มาทำตลาดแทนรุ่น E300 และกดราคาให้ถูกลง มากับขุมพลังเบนซิน 2.0 ลิตร พละกำลัง 184 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 300 นิวตันเมตร ที่ 1,200 – 4,000 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด 9G-Tronic จำหน่ายในราคา 4,390,000 บาท

คันต่อมาก็คือ Mercedes-AMG C43 4Matic Coupe รุ่นประกอบในประเทศ เปิดตัวในช่วงที่ตลาดโลกมีการแนะนำรุ่น Minor Change พอดีเลย มากับขุมพลังเบนซิน 3.0 ลิตรเทอร์โบคู่ พละกำลัง 367 แรงม้าที่ 5,500 – 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 520 นิวตัน-เมตร ที่ 2,000 – 4,200 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด 9G-TRONIC วางขายในราคา 4,140,000 บาท

  ส่วน Mercedes-Benz S350d รุ่นประกอบในประเทศที่แม้จะเปิดราคาแล้ว แต่ยังไม่มีรถมาโชว์ แต่เอารุ่นนำเข้ามาโชว์ตัวเรียกแขกไปก่อน มีการจำหน่าย 2 รุ่น ได้แก่
- S350d Exclusive ราคา 6,390,000 บาท
- S350d AMG Premium ราคา 6,990,000 บาท

นอกเหนือจากรถรุ่นใหม่ที่กล่าวมาแล้ว ยังมีการจัดแสดงรถ Mercedes-Benz GLA Millennials’Voices’Edition ที่นำรถ GLA250 AMG Dynamic มาเพ้นท์ภาพ "เด็กน้อยสามตาหน้าบึ้ง" เพื่อเป็นเสมือนกระบอกเสียงของคนยุคมิลเลนเนียลที่ต้องการแสดงตัวตนให้สังคมยอมรับและเข้าใจในวิถีของตนเอง โดยศิลปินผู้สรรค์สร้างผลงานนี้ก็คือ Alex Face หรือพัชรพล แตงรื่น ที่จัดทำขึ้นภายใต้แคมเปญระดับโลก “Grow up” ในชื่อ “GLA Car Paint x Alex Face” นั่นเอง

MINE
  อีกหนึ่งความน่าสนใจภายในงาน Motor Show 2018 อยู่ที่บูธนี้ ซึ่งจัดแสดงรถพลังงานไฟฟ้า 100% ฝีมือคนไทย Mine Mobility มากับรถต้นแบบ 3 รุ่น ได้แก่ City EV Concept , City EV Concept และ Sport EV Concept

รถทุกคันถูกพัฒนาและวิจัยโดยคนไทยทั้งหมด บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA ที่เคยประกาศว่าจะตั้งสถานีชาร์จรถพลังงานไฟฟ้าให้ครบ 1,000 แห่งในไทยภายในสิ้นปีนี้ ล่าสุดก็จะลงมาเติมเต็มธุรกิจให้ครบมากยิ่งขึ่น โดยมาตั้งบริษัทย่อยอย่าง MINE Mobility Research Co., Ltd. เพื่อมาวิจัยและพัฒนารถยนต์พลังงานไฟฟ้าจนมาเป็นต้นแบบ 3 คันนี้นั่นเอง เห็นว่าถ้าทำขายออกมาจริงๆจะมีราคาอยู่ในช่วง 6 แสน - 1 ล้านบาทครับ

รถต้นแบบที่เห็นนั้นอาจจะมีตัวถังและวัสดุที่ดูแปลกๆไปบ้าง แต่ต้องเข้าว่านี่เป็นแค่รถต้นแบบที่โชว์ว่าถ้าขายจริงน่าจะทำออกมาประมาณนี้ ก็ต้องเอาใจช่วยกันต่อไปครับ

MINI
  ค่ายรถเล็กแดนผู้ดียังไม่มีการเปิดตัวรถใหม่ภายในงาน แต่ก็มีแผนการเปิดตัวอยู่เช่นกัน ด้วยการนำรถ MINI ปริศนาสีแดงที่พรางด้วยสติ๊กเกอร์รอบคันมาโชว์ รถที่ว่าก็คือ "MINI Clubman Yours Edition" ที่จะมีการเปิดตัวในเร็วๆนี้ ซึ่งจะมีการเปิดตัวผ่านทางช่องทาง Digital และมีการเปิดจองในแบบที่ไม่ธรรมดา และคำว่าไม่ธรรมดาของ MINI ก็ไม่รู้ว่าไม่ธรรมดายังไง ก็ต้องรอดูต่อไป

Mitsubishi
  ค่ายทรีไดมอนด์ยังไม่มีการเปิดตัวรถรุ่นปรับโฉมหรือรถโมเดลใหม่แต่อย่างใด แต่ได้นำรถต้นแบบ Mitsubishi eX Concept เข้ามาอวดโฉม อันเป็นรถต้นแบบที่บ่งบอกทิศทางการออกแบบของรถอเนกประสงค์รุ่นใหม่ๆของค่ายในอนาคตนั่นเอง

นอกจากนั้นแล้วยังมีการแนะนำรถรุ่นพิเศษและรุ่นปรับอุปกรณ์หลายรุ่น เริ่มที่ Mitsubishi Triton Athlete Mega Cab ที่มาเอาใจคนชอบกระบะแค็บแต่งหล่อนั่นเอง การตกแต่งก็เหมือนกับตัว 4 ประตูทุกอย่าง วางขายในราคา 759,000 บาท อ่านรายละเอียดตัวรถได้ที่ Mitsubishi แนะนำ Triton Athlete ตัวถังตอนครึ่ง Mega Cab เอาใจคนชอบกระบะแค็บแต่งหล่อ

คันต่อมาก็คือ Mitsubishi Mirage Limited Edition อีกหนึ่งรุ่นพิเศษที่มากระตุ้นตลาดอีโคคาร์ ได้รับการตกแต่งภายนอกและภายในให้มีความโดดเด่นมากขึ้นกว่าเดิม ใช้พื้นฐานของรุ่นย่อย GLS ในการตกแต่งเพิ่มเติม มีทางเลือก 2 แบบ ได้แก่
- รุ่นสีแดง Red Metallic ราคา 564,000 บาท
- รุ่นสีขาวมุก White Pearl ราคา 571,000 บาท
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ Mitsubishi Mirage Limited Edition รุ่นพิเศษกระตุ้นตลาดอีโคคาร์ ราคาเริ่มที่ 564,000-571,000 บาท

อีกคันก็คือ Mitsubishi Pajero Sport MY2018 ที่ได้รับการปรับปรุงอุปกรณ์เพิ่มเติมให้ครบครันมากขึ้น  ภายนอกไม่มีการเปลี่ยนแปลงดีไซน์แต่อย่างใด มีเพียงแค่การย้ายเสาอากาศด้านหน้าไปฝังไว้ที่กระจกบังลมด้านหลังเท่านั้น ภายในห้องโดยสารก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงดีไซน์ แต่มีการตกแต่งและเพิ่มเติมอุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกหลายอย่าง จำหน่ายในราคาตั้งแต่ 1,296,000-1,539,000 บาท อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Mitsubishi Pajero Sport MY2018 ปรับเพิ่มอุปกรณ์เล็กน้อย เพิ่มราคา 7,000-10,000 บาท

ปิดท้ายด้วย Mitsubishi Pajero Sport GT-Premium 2WD Limited Edition รุ่นพิเศษที่มีการภายในห้องโดยสารที่เปลี่ยนจากโทนสีดำมาเป็นโทนสีเบจ เอาใจคนที่ชอบความหรูหราได้ดีทีเดียว  ระบบความปลอดภัยของรถนั้น จะมีการเพิ่ม "ถุงลมนิรภัย 7 ใบ" มาให้ จากเดิมที่มีให้ในรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อเท่านั้น จำหน่ายในราคา 1,424,000 บาท อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม Mitsubishi Pajero Sport GT-Premium 2WD Limited Edition เพิ่มความปลอดภัยและตกแต่งภายในด้วยสีเบจ

Nissan
   แน่นอนว่าพระเอกของบูธนี้ก็คงหนีไม่พ้น Nissan GT-R Premium Edition คันสีส้มที่จอดเด่นตระหง่านบนเวที คราวนี้ไม่ได้แค่มาโชว์เพียงอย่างเดียวเท่านั้นครับ เพราะมาวางตลาดในไทยด้วย และที่สำคัญหากใครอยากได้ต้องไปซื้อที่ดีลเลอร์อย่าง "สยามนิสสัน ทีเคเอฟ" ทีเดียวเท่านั้น โดยดีลเลอร์รายนี้ได้รับแต่งตั้งให้เป็นตัวแทนจำหน่ายเพียงรายเดียวในไทย แต่ที่ตั้งจะไกลหน่อยโดยมีที่ตั้งดีลเลอร์อยู่ที่อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร
   ขุมพลังจะมาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซิน 3.8 ลิตร V6 (มีแผ่นสลักชื่อ Takumi Kurosawa หนึ่งในผู้ประกอบเครื่องยนต์ของ GT-R) ที่มากับพละกำลังสูงสุด 555 แรงม้าที่ 6,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 632 นิวตัน-เมตรที่ 3,300 – 5,800 รอบ/นาที มาพร้อมกับขับเคลื่อน 4 ล้อ All-Wheel Drive ระบบส่งกำลังจะมากับเกียร์ Dual Clutch 6 สปีด ความเร็วสูงสุด 196 ไมล์/ชม. (ประมาณ 315 กม./ชม.) สนนราคาค่าตัวอยู่ที่ 13,500,000 บาท อ่านรายละเอียดตัวรถได้ที่ Nissan GT-R เปิดตัวภายใต้การจำหน่ายของ Nissan เมืองไทยในราคาขาย 13.5 ล้านบาท

Porsche
   รถที่น่าสนใจภายในงานน่าจะหนีไม่พ้น Porsche 911 GT2 RS ที่จอดโดดเด่นอยู่บนเวที มากับรูปลักษณ์ที่ค่อนข้างดุดันกว่ารุ่นอื่นๆในตระกูล 911 ถือว่าเป็นรุ่นแรงระดับท็อปของ 911 เลยก็ว่าได้ ขุมพลังนั้นจะมากับเครื่องยนต์เบนซิน Twin-Turbo ขนาด 3.8 ลิตร 6 สูบ มากับพละกำลัง 700 แรงม้า PS ทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ใน 2.8 วินาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ PDK Dual-Clutch 7 สปีด สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ 340 กม./ชม. สนนราคาอยู่ที่ 33,500,000 บาท

  แต่ถ้าคิดว่า GT2 RS แพงไป ก็มีทางเลือกที่ย่อมเยากว่าแต่เท่ไม่แพ้กัน นั่นก็คือ Porsche 911 GT3 มากับเครื่องยนต์เบนซิน 4.0 ลิตร V6 ไร้ระบบอัดอากาศ มากับพละกำลัง 500 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ Dual Clutch 7 สปีด มีราคาจำหน่ายอยู่ที่ 18,400,000 บาท

Rolls-Royce
   ค่ายอัครมหายานยนต์จากแดนผู้ดีมีอะไรมาให้เราว้าวได้เสมอ ล่าสุดก็ได้นำรถ All-New Rolls-Royce Phantom มาโชว์ตัวภายในงาน ขึ้นแท่นเป็นรถที่ราคาแพงที่สุดภายในงานด้วยค่าตัวถึง 59,500,000 บาท ในรูปแบบตัวถังฐานล้อยาว Extended Wheelbase รายละเอียดตัวรถสามารถอ่านได้ที่นี่ All-New Rolls-Royce Phantom รถที่ถูกหมายมั่นปั้นมือให้มีความหรูหราที่สุดในโลก

Sharenovation (Tesla)
   หนึ่งในผู้นำเข้าอิสระที่น่าสนใจภายในงานนี้ แต่เนื่องด้วยงาน Motor Show ไม่ต้องการให้ผู้นำเข้าอิสระมาขายรถแบบตรงๆ แต่ก็สามารถเอามาขายอ้อมๆได้โดยเป็นการขายชุดแต่งรถ รายนี้ก็ทำเช่นเดียวกัน รถที่โชว์ภายในงานก็คือ Tesla Model X ที่มากับชุดแต่ง Revozport และ Unplugged Performance แต่ถ้าสนใจตัวรถธรรมดา (ยังไม่รวมออปชั่นสัพเพเหระที่สั่งเพิ่มได้) จะมีราคาจำหน่ายดังนี้ครับ
- Tesla Model X 75D ราคาเริ่มต้นที่ 6,780,000 บาท
- Tesla Model X 100D ราคาเริ่มต้นที่ 7,980,000 บาท
- Tesla Model X P100D ราคาเริ่มต้นที่ 11,380,000 บาท

Suzuki
   หลังจากที่ห่างหายจากการเปิดตัวรถโมเดลใหม่ในงาน คราวนี้ภายในบูธ Suzuki ก็มีไฮไลต์อย่าง All-New Suzuki Swift มาเป็นตัวเรียกแขกได้เป็นอย่างดี ด้วยรูปโฉมที่ยังคงเอกลักษณ์แบบรุ่นที่แล้วแต่ได้ขัดเกลาให้ทันสมัยมากขึ้นกว่าเดิม มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซินใหม่ 1.2 ลิตร DualJet มากับพละกำลังสูงสุด 83 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 108 นิวตัน-เมตรที่ 4,400 รอบ/นาที รองรับเชื้อเพลิงถึง E20 ระบบส่งกำลังเบื้องต้นจะมีทางเลือกเกียร์อัตโนมัติ CVT เพียงอย่างเดียว ส่วนเกียร์ธรรมดาจะตามมาในภายหลัง จำหน่ายในราคา 499,000-629,000 บาท อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

Toyota
   ค่ายสามห่วงมีพระเอกภายในงานนี้ก็คือ Toyota C-HR รถซับคอมแพกต์ครอสโอเวอร์ที่พร้อมมาสู้ศึกกับคู่แข่งทั้งหลายอย่างเต็มตัวแล้ว วางตลาดด้วยเครื่องเบนซิน 1.8 ลิตรธรรมดาและไฮบริด ในราคาขาย 979,000-1,159,000 บาท อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Toyota C-HR ลงโชว์รูมพร้อมจำหน่ายอย่างเป็นทางการแล้ว ราคาเริ่มที่ 979,000-1,159,000 บาท ภายในงานยังมีการจัดแสดง Toyota C-HR ที่สวมชุดแต่ง TRD จากทาง Toyota โดยตรง สามารถติดตั้งเพิ่มได้โดยมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม และ ชุดแต่ง Modellista จากทางญี่ปุ่น คันสีขาวที่น่าจะเอามาโชว์เฉยๆ

  อีกคันที่มีการโชว์ตัวต่อสาธารณะชนอย่างเป็นทางการก็คือ Toyota Alphard Minor Change (ส่วน Vellfire ทาง Toyota ไม่ได้เอามาโชว์) เป็นรถที่นำเข้าจากตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในไทย ซึ่งรายละเอียดการเปลี่ยนแปลงต่างๆสามารถเข้าไปอ่านได้ที่ Toyota Alphard/Vellfire Minor Change ภายใต้การนำเข้าของ Toyota เมืองไทยเปิดราคาแล้ว ครับ ราคาจำหน่ายจะมีดังนี้ - Vellfire 2.5 ราคา 3,809,000 บาท
- Alphard 2.5 Hybrid ราคา 3,939,000 บาท
- Alphard 3.5 VIP ราคา ราคา 5,429,000 บาท

Volvo
 
  ปิดท้ายที่ค่าย Volvo ที่นอกจากยังคงมีตัวชูโรงในงานอย่าง Volvo XC60 โฉมล่าสุดที่เปิดตัวไปแล้วเมื่อปลายปี 2017 ทีผ่านมา แต่ภายในงานนี้ก็มีการแนะนำรถรุ่นใหม่ก็คือ Volvo V40 Dynamic Edition รุ่นพิเศษท้ายโมเดลแล้ว มากับเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร ทวินเทอร์โบ พละกำลัง 190 แรงม้า จำหน่ายในราคาที่ D-Segment ญี่ปุ่นยังต้องมอง โดยมีราคาอยู่ที่ 1,690,000 บาทเท่านั้น

  และทั้งหมดนี้ก็คือสรุปไฮไลต์รถภายในงาน Bangkok Motor Show 2018 ที่รวบรวมมา หวังว่าจะมีรถที่ท่านๆน่าจะสนใจอยากเป็นเจ้าของนะครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวรถได้
ห้ามแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการพนัน หรือสิ่งผิดกฎหมาย

Like Box