วันพฤหัสบดีที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

ชมภาพและคลิปทีเซอร์ Audi Q8 อเนกประสงค์รุ่นใหม่จากค่ายสี่ห่วง ก่อนเปิดตัว 5 มิ.ย. นี้

  ใกล้ถึงเวลาแล้วที่ Audi จะทำการเปิดตัวรถอเนกประสงค์รุ่นใหม่ "Q8" ที่จะมาเป็นคู่แข่งของ Mercedes-Benz GLE Coupe และ BMW X6 ซึ่งล่าสุดทางค่ายสี่ห่วงก็ได้ทยอยปล่อยภาพและคลิปทีเซอร์ออกมาก่อนที่จะมีการเปิดตัวในวันที่ 5 มิ.ย. นี้

   Audi Q8 จะมีรูปลักษณ์ที่ค่อนข้างใกล้เคียงกับ Audi Q8 E-Tron Concept ที่เผยโฉมต้นปีที่แล้ว เรียกได้ว่าแทบจะถอดกันมาเลย โดยจะมากับแนวการออกแบบยุคใหม่ของค่าย Audi ด้วยรูปทรงกระจังหน้า 8 เหลี่ยมขนาดใหญ่โต พร้อมกับไฟหน้าแบบ LED กันชนหน้าดีไซน์ดุดันที่ออกแบบให้เข้ากับกระจังหน้า เส้นสายตัวรถค่อนข้างดูเฉียบคม มีแนวหลังคาที่เตี้ยและลาดเอียงในส่วนด้านท้ายในสไตล์รถคูเป้ ด้านท้ายก็มากับชุดไฟท้ายที่ออกแบบให้เชื่อมเป็นแนวยาวจากซ้ายไปขวา

  เช่นเดียวกับภายในห้องโดยสารที่มีดีไซน์ล้ำสมัย ตามรอย Audi รุ่นใหม่ๆหลายรุ่น โดยมากับปุ่มควบคุมแบบหน้าจอดิจิตอลสัมผัสซึ่งออกแบบให้กลมกลืนกับหน้าจออินโฟเทนเมนต์ตรงกลาง

  Audi Q8 จะสร้างขึ้นบนแพลตฟอร์ม Evo MLB ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มเดียวกับที่ใช้ใน Q7 , Volkswagen  Touareg . Bentley Bentayga และ Lamborghini Urus

  ขุมพลังนั้นคาดว่าจะติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบเทอร์โบ พละกำลังราวๆ 250 แรงม้า และอาจมีเครื่องยนต์ V6 พละกำลังราวๆ 355 แรงม้า นอกจากนี้ก็จะมีเวอร์ชั่น Plug-In Hybrid รวมทั้งเวอร์ชั่นแรงภายใต้รหัส S และ RS ตามมาด้วย

  สุดท้ายนี้ก็มาติดตามว่า Audi Thailand สนใจที่จะเอา Q8 เข้ามาจำหน่ายในไทยหรือไม่ สาวกสี่ห่วงต้องติดตาม!


ที่มา Carscoops1 / 2

วันพุธที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

ชม Nissan 370Z รุ่นปรับปรุงปี 2019 ในตลาดมะกัน กระตุ้นอีกสักครั้งก่อนโฉมใหม่จะมา

  แม้สปอร์ตคันเก่ง Nissan 370Z จะมีอายุอานามเข้าสู่ปีที่ 9 แล้ว แต่ก็ยังไร้วี่แววในการเปิดตัวเจเนเรชั่นใหม่จากผู้ผลิต ถึงกระนั้นก็ตามทาง Nissan อเมริกาก็ได้ปรับปรุงอุปกรณ์เล็กน้อยให้กับ 370Z รุ่นปี 2019 

  ในรุ่นปี 2019 จะมีการเพิ่มสีตัวถังใหม่ "สีน้ำเงิน Deep Blue Pearl" และ "สีขาวมุก Pearl White" ในรุ่นตกแต่งพิเศษ Heritage Edition นอกจากนี้ยังมีการแนะนำรุ่นย่อยใหม่ "Sport Touring" ที่เป็นการยุบรวมรุ่นย่อย Touring และ Sport Tech เข้าด้วยกัน และติดตั้งกระจกมองหลังแบบปรับลดแสงอัตโนมัติและสามารถแสดงผลจากกล้องมองหลังเป็นมาตรฐานในทุกรุ่นทุกตัวถัง

  สำหรับ Nissan 370Z รุ่นปี 2019 ยังคงมากับโคมไฟหน้ารมดำ , แผ่นกันกระแทกกันชนท้ายสีดำ , มือจับประตูสีดำ , ล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้ว และสีแดง Red Metallic ที่เพิ่มเข้ามาตั้งแต่รุ่นปี 2018

  ภายในห้องโดยสารจะมากับหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้วพร้อมระบบอินโฟเทนเมนต์ Nissan Connect Premium รองรับการเล่น DVD , ระบบนำทาง และ กล้องมองหลัง

  ขุมพลังยังคงใช้เครื่องยนต์เบนซิน 3.7 ลิตร V6 ที่พกพาพละกำลัง 332 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 6 สปีด และอัตโนมัติ 7 สปีด ส่วนรุ่น Nismo จะมากับพละกำลังที่แรงกว่า โดยมีตัวเลขอยู่ที่ 350 แรงม้า ติดตั้งระบบกันสะเทือนแบบอิสระ 4 ล้อ , ชุดเบรกขนาดใหญ่กว่ารุ่นปกติ และเฟืองท้ายแบบ Limited Slip

  Nissan 370Z รุ่นปี 2019 มีราคาเริ่มที่ 29,990 จนถึง 49,400 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 961,000 ถึง 1,582,000 บาทไทย ยังไม่รวมภาษีสรรพสามิตในไทย

ที่มา Carscoops

มาชม All-New Honda Insight รถซีดานขุมพลังไฮบริด 151 แรงม้า กินน้ำมัน 23.38 กม./ลิตร

   เมื่อช่วงปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ค่าย Honda ได้ทำการเผยโฉม All-New Honda Insight เวอร์ชั่นจำหน่ายจริงให้เราได้เชยชมกันแล้ว

  All-New Honda Insight ติดตั้งขุมพลังไฮบริดเวอร์ชั่นที่ 3 ของค่าย ซึ่งมากับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว แบตเตอรี่แบบลิเธียมไอออน ทั้งหมดผสานการทำงานกับเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร Atkinson Cycle รวมกำลังทั้งระบบที่ 151 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 267 นิวตัน-เมตร ทาง Honda เคลมว่า Insight โฉมใหม่มีอัตราส่วนกำลังต่อน้ำหนักที่ดีที่สุดในกลุ่ม มีอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 23.38 กม./ลิตร

  ผู้ขับขี่สามารถเลือกโหมดการขับขี่ได้ 3 รูปแบบ ได้แก่  Normal, Econ และ Sport นอกจากนี้ All-New Honda Insight ยังมีระบบเบรกปั่นไฟฟ้าที่จะดึงเอาพลังงานส่วนนี้ปั่นกลับเข้าสู่แบตเตอรี่ไฮบริด (Regenerative Braking) ซึ่งจะเป็นแบบ 3 ระดับ ขึ้นอยู่กับลักษณะการขับขี่ ตัวรถสามารถวิ่งด้วยโหมดไฟฟ้า 100% ด้วยระยะทางสั้นๆเกือบๆ 1.6 กม.

  All-New Honda Insight สร้างขึ้นบนพื้นฐานของ Honda Civic เจเนเรชั่นที่ 10 ฉะนั้นไม่แปลกใจที่รูปทรงนั้นก็คือการนำ Civic โฉมซีดานมาปรับหน้าตาภายนอกใหม่ ฉะนั้นอย่าเข้าใจผิดว่านี่คือ Civic Minor Change  ดีไซน์ด้านหน้านั้นเห็นได้ชัดเลยว่าได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Honda Accord โฉมล่าสุดมาเต็มๆ จะมากับไฟหน้าแบบ LED ทรงเรียวยาว พร้อมกระจังหน้าที่มีแถบโครเมี่ยมลากยาวไปทะลุไฟหน้า ส่วนด้านท้ายก็มีการออกแบบไฟท้ายทรงใหม่ให้ดูสวยงามลงตัวใช้ได้ทีเดียว

  All-New Honda Insight ยังมีการปรับปรุงงานด้านวิศวกรรมหลายจุดเพื่อให้มีคุณภาพการขับขี่ที่ดีขึ้นรวมทั้งออกแบบการเก็บเสียงต่างๆให้ดีขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย

  ภายในห้องโดยสารมีการออกแบบคอนโซลหน้าให้แตกต่างจาก Civic โดยมากับพวงมาลัยทรงเดียวกับ Accord โฉมล่าสุด มากับชุดมาตรวัดแบบดิจิตอลขนาด 7 นิ้ว หน้าจอสัมผัสขนาดใหญ่ 8 นิ้วที่ตั้งตรงกลางรองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto นอกจากนี้ยังออกแบบบริเวณฐานเกียร์ใหม่ และใช้เกียร์ปุ่มคล้ายๆของ CR-V รุ่นดีเซลในไทย

  ทางด้านระบบความปลอดภัยนั้นก็จะมีชุดระบบ Honda Sensing ซึ่งจะประกอบด้วย ระบบช่วยเตือนก่อนการชนด้านหน้า Forward Collison Warning , ระบบเตือนการชนด้านหน้าและตรวจจับคนเดินถนนด้วยกล้องและเรดาร์พร้อมระบบช่วยเบรก Collision Mitigation Braking System , ระบบเตือนเมื่อรถออกนอกเลน Lane Departure Warning , ระบบช่วยรักษารถให้อยู่ในเลน Lane Keeping Assistance System , ระบบแจ้งเตือนและช่วยเหลือเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ Road Departure Mitigation , ระบบ Adaptive Cruise Control with Low-Speed Follow และ ระบบรับรู้เครื่องหมายจราจร Traffic Sign

  Honda Insight จะเริ่มขายในสหรัฐฯช่วงกลางปีนี้ โดยราคายังไม่มีการประกาศออกมา ณ ตอนนี้

ที่มา Carscoops

วันอังคารที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

ส่อง Nissan Terra โฉมฟิลิปปินส์ เปิดตัวครั้งแรกในภูมิภาคอาเซียน เมืองไทยปีนี้เจอกัน!

  หลังจากที่ Nissan ได้ทำการเปิดตัว Terra เป็นครั้งแรกที่เมืองจีนช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา คราวนี้ก็เป็นคิวของประเทศฟิลิปปินส์ซึ่งถือว่าเป็นที่แรกในภูมิภาคอาเซียนที่มีการเปิดตัว ส่วนเมืองไทยก็รอติดตามให้ดี เพราะในปีนี้มาแน่นอน!

  Nissan Terra เวอร์ชั่นฟิลิปปินส์มีรายละเอียดบางอย่างที่แตกต่างจากเวอร์ชั่นจีนเล็กน้อยเท่านั้น ภายนอกจะมากับโคมไฟหน้าแบบ LED พร้อมไฟ Daytime Running Lights ภายในโคม กระจังหน้าทรงใหม่แบบ V-Motion ที่ออกแบบขนาดใหญ่โตกว่า Navara รายละเอียดกระจังหน้าจะเป็นสีเงิน (ของจีนเป็นสีดำ) รวมทั้งออกแบบกันชนหน้าให้ดูทันสมัยมากขึ้น 
  กระจกมองข้างจะเป็นสีเดียวกับตัวรถ (พร้อมไฟเลี้ยวในตัว) ต่างจากจีนที่จะเป็นโครเมี่ยม ในส่วนของราวหลังคาจะพ่นสีเงิน ต่างจากจีนที่เช่นกันที่เป็นสีดำ 

  ต่อเนื่องไปถึงด้านท้ายที่มากับโคมไฟท้ายแนวนอนพร้อมไฟหรี่ LED ภายในโคม บริเวณแถบโครเมี่ยมเหนือป้ายทะเบียนจะสลักตัวอักษร Terra ไว้ด้วย (จีนไม่มี) นอกจากนี้ก็จะมีล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้วติดตั้งมาให้ ทางด้านสัดส่วนของ Nissan Terra เวอร์ชั่นฟิลิปปินส์จะมีสัดส่วนความยาว 4,885 มิลลิเมตร กว้าง 1,865 มิลลิเมตร สูง 1,835 มิลลิเมตร และมีฐานล้อยาว 2,850 มิลลิเมตร ระยะความสูงจากพื้นรถ 225 มิลลิเมตร
  
  เช่นเดียวกับเวอร์ชั่นจีน ภายในห้องโดยสารยกคอนโซลหน้ามาจาก Navara แบบเต็มๆ แต่ได้มีการปรับโทนสีเบาะภายในห้องโดยสารเป็นสีน้ำตาล ซึ่งทำให้หรูหรามากขึ้น และยังเป็นครั้งแรกของโลกกับการเปิดตัวเวอร์ชั่น 7 ที่นั่งอีกด้วย ในรุ่นท็อปๆของ Terra เวอร์ชั่นฟิลิปปินส์จะติดตั้งเบาะคนขับปรับไฟฟ้าด้านคนขับ 8 ทิศทาง , พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น , หน้าจอสัมผัส 7 นิ้วที่รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay , ระบบการเชื่อมต่อ Bluetooth และอื่นๆ

  สำหรับเวอร์ชั่นฟิลิปปินส์จะทำการติดตั้งเครื่องดีเซลรหัส YD25DDTi ความจุ 2.5 ลิตร 4 สูบแถวเรียง เทอร์โบแปรผัน VGS อินเตอร์คูลเลอร์ ที่มีพละกำลัง 190 แรงม้าที่ 3,600 รอบ/นาทีแรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร ที่ 2,000 รอบ/นาที พร้อมทางเลือกเกียร์ธรรมดา 6 สปีดและเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด ในรุ่นระบบขับเคลื่อน 4 ล้อจะติดตั้งเฟืองท้ายแบบ Diff-Lock มาให้ด้วย และยังมีระบบช่วงล่างด้านหลังคอยล์สปริงแบบ 5-Link , ระบบเบรกหน้าดิสก์เบรก และหลังแบบดรัมเบรก

  ทางด้านระบบความปลอดภัยใน Nissan Terra เวอร์ชั่นฟิลิปปินส์ จะมีระบบที่เด่นๆก็คือ ถุงลมนิรภัย 7 ใบ , ระบบเตือนเมื่อรถออกนอกเลน Lane Departure Warning , ระบบเตือนมุมอับสายตา Blind Spot Warning , ระบบแสดงภาพรอบทิศทางพร้อมตรวจจับวัตถุและบุคคลที่เคลื่อนไหว Intelligent Around View Monitor with Moving Object Detection และ กระจกมองหลังแบบดิจิตอล Smart Rear View Mirror และระบบอื่นๆก็ตามมาครบ ไม่ว่าจะเป็นระบบเบรก ABS/EBD/BA , ระบบควบคุมการทรงตัว , ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน Hill-Start Assist , ระบบช่วยขับขี่ขณะลงทางชัน Hill-Descent Control , เซ็นเซอร์ช่วยในการถอยจอด Parking Sensors และ ระบบเตือนแรงดันลมยาง Tire Pressure Monitoring System 

  Nissan Terra ในตลาดฟิลิปปินส์จะมีทางเลือกทั้งหมด 5 รุ่นย่อย ได้แก่
- 2.5L Mid 4x2 6MT ราคา 1,499,000 เปโซ หรือประมาณ 915,000 บาทไทย
- 2.5L Mid 4x2 7AT ราคา 1,615,000 เปโซ หรือประมาณ 985,000 บาทไทย
- 2.5L High 4x2 7AT ราคา 1,697,000 เปโซ หรือประมาณ 1,035,000 บาทไทย
- 2.5L Premium 4x2 7AT ราคา 1,899,000 เปโซ หรือประมาณ 1,159,000 บาทไทย
- 2.5L Premium 4x4 7AT ราคา 2,096,000 เปโซ หรือประมาณ 1,279,000 บาทไทย

 Nissan Terra จะเริ่มเปิดจองตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายนปีนี้ และพร้อมจำหน่ายอย่างเป็นทางการตั้งแต่เดือนสิงหาคมเป็นต้นไป โดยตัวรถจะทำการผลิตที่ประเทศไทย ซึ่งเป็นคิวต่อไปที่จะเปิดตัวต่อจากฟิลิปปินส์ แต่จะเป็นช่วงเดือนไหนต้องติดตามให้ดี แว่วๆว่าเมืองไทยจะได้เครื่องยนต์ดีเซล 2.3 ลิตรอีกด้วย

ที่มา auto.ndtv / autodeal.com.ph

วันศุกร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

ชม 2019 Porsche Cayenne E-Hybrid เอสยูวีหรูรักษ์โลกพลังแรง

  Porsche ถือว่าประสบความสำเร็จกับรถ Plug-In Hybrid ซึ่งได้รับความนิยมกันอย่างแพร่หลายทีเดียว และล่าสุดไม่นานนี้ค่ายรถคุณอ๊บแห่งแดนไส้กรอกก็ได้ทำการเปิดตัว Porsche Cayenne E-Hybrid โฉมใหม่ล่าสุดปี 2019 มาให้เหล่าสาวกได้เชยชมกันแล้ว

  Porsche Cayenne E-Hybrid โฉมใหม่ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบชาร์จความจุ 3.0 ลิตร V6 ที่ให้พละกำลัง 335 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร และยังติดตั้งแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่มีกำลัง 14.1 กิโลวัตต์ชั่วโมงโดยใช้พลังงานจากมอเตอร์ไฟฟ้าที่มีพละกำลัง 134 แรงม้า  แรงบิดสูงสุด 400 นิวตัน-เมตร เมื่อรวมกำลังทั้งระบบจะอยู่ที่ 455 แรงม้า อัตราเร่งตั้งแต่ 0-96 กม./ชม. จะอยู่ที่ 4.7 วินาที และสามารถทำความเร็วสูงสุดได้ที่ 252 กม./ชม.

ตัวแบตเตอรี่มีขนาดที่ใกล้เคียงกับ Cayenne S E-Hybrid รุ่นก่อนหน้า แต่ของใหม่จะได้รับการออกแบบให้มีกำลังสูงขึ้นและความหนาแน่นของพลังงานมากขึ้น เมื่อใช้กำลังไฟฟ้า 100% สามารถวิ่งได้ในระยะทาง 44 กิโลเมตร  และทำความเร็วสูงสุดไม่เกิน 133 กม./ชม.

เมื่อแบตเตอรี่หมดสามารถนำไปชาร์จจนเต็มโดยใช้เวลาประมาณ 7.8 ชั่วโมงเมื่อใช้อุปกรณ์ชาร์จไฟขนาด 3.6 กิโลวัตต์ ด้วยกำลังไฟ 230 โวลต์ 10 แอมป์ เวลาการชาร์จจะลดเหลือแค่ 2.3 ชั่วโมงเท่านั้นเมื่อใช้อุปกรณ์ขนาด 7.2 กิโลวัตต์ กำลังไฟ 230 โวลต์กับ 32 แอมป์

  ภายนอกไม่มีการเปลี่ยนแปลงดีไซน์จากรุ่นปกติมากนัก มีเพียงแค่การเปลี่ยนคาลิปเปอร์เบรกเป็นสีเขียว รวมทั้งป้ายโลโก้บนรถที่เสริมด้วยสีเขียว และที่ขาดไม่ได้ก็คือที่เสียบชาร์จไฟนั่นเอง

  ส่วนภายในห้องโดยสารจะมากับแผงหน้าปัดและหน้าจอระบบ Infotainment ที่ออกแบบการแสดงผลสำหรับเวอร์ชั่น E-Hybrid โดยเฉพาะ นอกจากนี้ยังติดตั้งระบบ Auxiliary Cabin Conditioning System , Sport Chrono Package และระบบการจัดการช่วงล่าง Suspension Active Porsche อีกด้วย

  นอกจากนี้ลูกค้ายังนำเสนอฟีเจอร์อื่นๆ ได้แก่ กระจกหน้าปรับอุ่นได้ , หน้าจอ Head-Up Display , เบาะนั่งพร้อมฟังก์ชั่นนวด ลูกค้ายังสามารถสั่งซื้อล้อขนาด 22 นิ้วได้อีกด้วย

   Porsche Cayenne E-Hybrid 2019 จะมีราคาตั้งแต่ 79,900 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 2,551,000 บาท

ที่มา Carscoops

ชมรถทดสอบ Porsche Macan Minor Change เผยดีไซน์ภายนอกชัดเจน

 ถือว่าประสบความสำเร็จเลยก็ว่าได้สำหรับรถครอสโอเวอร์รุ่นน้องค่ายกบอย่าง Porsche Macan ซึ่งตอนนี้ก็ใกล้ถึงเวลาสำหรับการปรับโฉมเพิ่มความสดใหม่แล้ว และนี่ก็คือภาพล่าสุดของรถทดสอบ Porsche Macan Minor Change ที่มีการพรางรถแค่นิดเดียวเท่านั้น

 ภายนอกเห็นได้ชัดเจนว่า ด้านหน้าจะมีการออกแบบกันชนหน้าใหม่รวมทั้งปรับเปลี่ยนรายละเอียดภายในโคมไฟหน้าใหม่ให้มีความทันสมัยขึ้น ส่วนด้านท้ายจะมีการออกแบบโคมไฟท้ายทรงใหม่ที่ดูจาการพรางรายละเอียดแล้ว น่าจะออกแบบให้ลากยาวจากซ้ายจรดขวาเหมือนกับรุ่นพี่อย่าง Cayenne นอกจากนี้จะเห็นล้อลายใหม่

ภาพจาก Motor1
  ส่วนภายในห้องโดยสารจะมีการออกแบบคอนโซลหน้าและช่องแอร์ตรงกลางใหม่ให้ดูทันสมัยมากขึ้น มากับชุดหน้าจอ Infotainment ระบบสัมผัสขนาดใหญ่

  ขุมพลังนั้นยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจน แต่แน่นอนว่าจะต้องมีดีเซลและเบนซินให้เลือกตามเคย และอาจจะมีขุมพลัง Plug-In Hybrid มาเป็นทางเลือกด้วยเช่นเดียวกัน

  ทางด้านระบบความปลอดภัยก็มีความเป็นไปได้ที่จะติดตั้งระบบเหล่านี้ ได้แก่ ระบบช่วยการมองเห็นยามค่ำคืน Night Vision Assist , ระบบช่วยในการเปลี่ยนเลน Lane Change Assist , ระบบช่วยรักษารถให้อยู่ในเลน Lane Keeping Assist และ ระบบช่วยเหลือสำหรับการจราจรติดขัด Traffic Jam Assist

 เริ่มเปิดเผยชัดขนาดนี้ คงที่จะได้เห็นการเผยโฉม Porsche Macan Minor Change ในเร็ววันนี้แน่นอน แต่จะเป็นตอนไหนเมื่อไหร่ก็ต้องติดตามให้ดี

ที่มา Carscoops

วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

Ford F-150 Raptor MY2019 เน้นปรับปรุงการขับขี่ให้ดียิ่งขึ้น

  Ford ได้ทำการปรับปรุงกระบะ Full-Size สมรรถนะสูงสุดหล่ออย่าง Ford F-150 Raptor โมเดลปี 2019 โดยการปรับครั้งนี้ไม่ได้เน้นที่การปรับรูปโฉม แต่ปรับด้านการขับขี่เป็นหลัก

  โดย Ford F-150 Raptor MY2019 จะติดตั้งโช้คอัพชุดใหม่จาก FOX ที่มากับเทคโนโลยีใหม่ "Live Valve" ควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งจะตรวจสอบอาการสั่นสะทือนแบบเรียลไทม์โดยติดตั้งเซ็นเซอร์ไว้บริเวณช่วงล่างและตัวถังของรถ ซึ่งส่งผลให้มีการขับขี่ที่ดีขึ้น นุ่มนวลมากขึ้น และลดการกระแทกบริเวณใต้ท้องรถอีกด้วย

  เทคโนโลยี Live Valve จะทำงานร่วมกับระบบปรับสภาพการขับขี่ Terrain Management System ของ Ford โดยการปรับปรุงดังกล่าวยังช่วยให้รถสามารถขับขี่บนเส้นทางหฤโหดได้ด้วยความเร็วสูงมากกว่าเดิมด้วย

  Ford F-150 Raptor MY2019 ยังมากับระบบควบคุมความเร็ว Trail Control ซึ่งมีหลักการทำงานเหมือน Cruise Control โดยสามารถควบคุมได้ในช่วงความเร็วต่ำ , บนเส้นทางขรุขระ , ช่วยปรับกำลังและช่วยเบรคให้กับล้อทั้งสี่ได้ ทำให้ผู้ขับขี่สามารถโฟกัสไปที่การควบคุมพวงมาลัยได้เต็มที่ ระบบนี้จะทำงานที่ความเร็วสูงสุด 0-32 กม./ชม.

  การเปลี่ยนแปลงภายนอกนั้นไม่ได้มีการปรับปรุงหน้าตาใหม่อะไรทั้งนั้น มีเพียงแค่ปรับเปลี่ยนกันกระแทกฝาปิดด้านท้ายใหม่เล็กน้อย รวมทั้งการเปลี่ยนล้อลายใหม่ และยังมีทางเลือกสีใหม่ ได้แก่ สีน้ำเงิน Ford Performance Blue , สีน้ำเงิน  Velocity Blue , สีดำ Agate Black
 
  ส่วนภายในห้องโดยารจะมากับเบาะนั่งคู่หน้าที่มีความสปอร์ดมากขึ้น ซึ่งผลิตโดย Recaro ตกแต่งด้วยหนังแบบ Alcantara สีน้ำเงิน และมีการตัดเย็บตะเข็บแบบใหม่

  ปิคอัพสมรรถนะสูงสุดหล่อคันนี้จะเริ่มผลิตที่โรงงาน Ford ในเดียร์บอน สหรัฐอเมริกา และวางจำหน่ายในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีหรือช่วงปลายปีนี้นั่นเอง

  ส่วนชาวไทยถ้าใครอยากได้คงต้องนำเข้ามาเองครับ

ที่มา Carscoops
 

Like Box